คลิปวิดีโอ

สะเทือนบิตคอยน์ รัฐบาลจีน กับการเร่งเปิดตัวเงินหยวนดิจิทัล
19 มีนาคม 2564 11:19 น.

รัฐบาลจีนกำลังจะเป็นชาติแรกที่ใช้งาน "เงินดิจิทัล" หลังจากพัฒนามานานถึง 7 ปี และนั่นอาจจะสะเทือนถึงโลกบิตคอยน์อีกด้วย ล่าสุดสื่อธุรกิจอย่างบลูมเบิร์ก รายงานว่าการที่จีนเร่งปล่อยเงินหยวนดิจิทัลออกมา แสดงถึงความพยายามที่จริงจังของรัฐบาลที่ต้องการควบคุมระบบ และก้าวทันโลกไปพร้อมๆ กัน และที่น่าสนใจก็คือ ตอนนี้ธนาคารกลางจีนทำการทดสอบใช้เงินหยวนดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงขั้นที่พร้อมปล่อยใช้แล้ว ถ้าจีนเป็นชาติแรกที่สามารถใช้เงินดิจิทัลได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เกิดความกังวลในตลาดคริปโต โดยเฉพาะบิตคอยน์ตามมา รัฐบาลจีนนั้นขึ้นชื่อว่าไม่ค่อยชื่นชอบสกุลเงินดิจิทัลที่ควบคุมไม่ได้ จากข่าวต่างๆ ที่เราได้เห็นก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น

  • - การห้ามแลกเงินหยวนกับโทเคนดิจิทัลต่างๆ
  • - การสั่งแบนขุดบิตคอยน์ในหลายพื้นที่ หลังจากนักขุดบิตคอยน์ใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก จนทำให้พื้นที่เหล่านั้นไม่สามารถทำตามนโยบายประหยัดพลังงานได้

    นักวิเคราะห์มองว่าถ้าหากจีนปล่อยเงินหยวนดิจิทัล ที่อยู่ภายใต้การควบคุมออกมา พร้อมกับออกกฎที่เคร่งครัดต่อเงินดิจิทัลสกุลอื่นๆ มากยิ่งขึ้นนั้น จะยิ่งทำให้ตลาดคริปโตในจีนนั้นเกิดอาการ "Panic Sell" หรือแห่กันเทขายออกมา ซึ่งนั่นอาจจะทำไปสู่การตกลงที่รุนแรงของราคาบิตคอยน์โลก ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในปีนี้ หรืออนาคตอันใกล้ก็เป็นไปได้ แต่กว่าจะไปถึงวันนั้น สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก “หยวนดิจิทัล” ว่าคืออะไร? และจะส่งผลต่อโลกเราในอนาคตมากแค่ไหน!? เราเลยขอยกบทความนี้กลับมาเล่าให้ได้อ่านกันครับ

  • - ย้อนจุดกำเนิดของ “หยวนดิจิทัล”

    ประเทศจีนได้ชื่อว่าเป็นประเทศตัวอย่างของ “สังคมไร้เงินสด” นั่นก็เพราะมีการใช้จ่ายเงินผ่านทางโทรศัพท์มือถือสูงมากตามข้อมูลระบุว่าในปี 2009 มียอดผู้ใช้จ่ายเงินออนไลน์ประมาณ 94 ล้านคน ผ่านมาประมาณสิบปี ในปี 2019 ตัวเลขผู้ใช้จ่ายเงินออนไลน์เพิ่มเป็น 800 ล้านคน เกินครึ่งของประชากร 1,400 ล้านคนทั่วประเทศ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่เราจะเห็นร้านสะดวกซื้อ แม่ค้าในตลาด หรือกระทั่งขอทาน มี QR Code สำหรับรับเงินโดยเฉพาะ แต่ถ้าเรามองตลาดการจ่ายเงินผ่านมือถือของจีน จะพบว่ามีรายใหญ่ได้แก่

    Alipay (Alibaba) ครองส่วนแบ่งสูงสุด 55%
    Tenpay (Tencent + WeChat) ครองส่วนแบ่ง 40%

    เหลือก็คือผู้ให้บริการรายย่อยอื่นๆ นั่นเท่ากับว่าการรับจ่ายเงินหยวนแต่ละครั้งผ่านระบบออนไลน์ บริษัทเอกชนเหล่านั้นก็จะมีข้อมูลการเคลื่อนไหวของเงินเก็บไว้ ซึ่งพวกเขาก็จะมีข้อมูลลูกค้าเพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อ (หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าส่งต่อข้อมูลให้ทางรัฐบาลจีน) แต่สำหรับธุรกรรมอื่นๆ ที่ใช้เงินสด เท่ากับว่ารัฐบาลจะไม่มีข้อมูลการใช้จ่ายเงินเหล่านั้นในระบบ จึงต้องหาทางแก้ปัญหาดังกล่าว จนกระทั่งในปี 2014 ทั่วโลกได้เริ่มรู้จักกับสกุลเงินดิจิทัลที่ชื่อว่า Bitcoin เพราะสกุลเงินดังกล่าวกลายเป็นกระแส หลังจากทำราคาขึ้นไปนับสิบเท่า จากประมาณ 90 ดอลลาร์สหรัฐ ไปเป็นประมาณ 1,000 ดอลลาร์ นั่นทำให้ธนาคารจีนเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ของการมีสกุลเงินดิจิทัลของประเทศตัวเองด้วย ก่อนที่ในปี 2017 จะให้ธนาคารพาณิชย์ และผู้เชี่ยวชาญมาร่วมกันออกแบบระบบ สร้างสกุลเงิน “หยวนดิจิทัล” ขึ้นมา

  • - สกุลเงินดิจิทัลของจีน คืออะไร?

    “หยวนดิจิทัล” อาจจะดูเป็นสกุลเงินดิจิทัลเหมือน Bitcoin แต่แท้จริงแล้วกลับมีความแตกต่างกันอยู่มาก ข้อแรก เงินหยวนดิจิทัล จะอ้างอิงกับค่าเงินหยวนแบบ 1:1 นั่นหมายความว่าถ้าเงินหยวนมีค่าเท่าไร เงินหยวนดิจิทัลก็จะมีค่าเท่านั้น ซึ่งต่างจาก Bitcoin ที่ไม่ได้อ้างอิงกับสินทรัพย์ใดๆ หรือ Libra ที่อ้างอิงกับเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ Bitcoin ขึ้นชื่อเรื่องของความอิสระ ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมใดๆ และสามารถรับจ่ายเงินได้โดยไม่ต้องระบุตัวตน แต่เงินหยวนดิจิทัลนั้น ธนาคารกลางจีนมีสิทธิ์ควบคุมโดยตรง เพราะเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา ทำให้สามารถติดตามได้ว่าเงินไปอยู่ตรงไหนแล้ว ถูกใช้จ่ายอย่างไรบ้าง ประชาชนหรือบริษัทไหนเป็นผู้ครอบครองอยู่

  • - การก้าวสู่สังคมไร้เงินสดแบบเต็มตัว

    หลังจากทดสอบมาจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหา ธนาคารกลางจีนก็เริ่มดำเนินการทดลองใช้เงินหยวนดิจิทัล ในหลายเมือง เช่น เซินเจิ้น, เฉิงตู หรือซูโจว โดยช่วงแรกเริ่มใช้ในวงแคบๆ ก่อนจะต่อยอดทดสอบจ่ายเป็นเงินเดือนบางส่วน และสวัสดิการให้กับข้าราชการ นั่นจะเป็นเหมือนการบีบบังคับให้พวกเขาต้องใช้เงินดิจิทัลไปในตัว แล้วถ้าการทดสอบนี้ได้ผลดี ก็อาจจะขยายต่อไปยังส่วนธุรกิจอื่นๆ ต่อ ซึ่งรวมไปถึงห้างร้านต่างๆ อีกด้วย ซึ่งหากไปถึงจุดนั้น ร้านค้าที่รับจ่ายเงินผ่าน QR Code ของผู้ให้บริการต่างๆ ก็จะถูกบังคับให้รับทั้งสกุลเงินเดิม และสกุลเงินดิจิทัลนี้ควบคู่กันไป ในขณะที่แอปจ่ายเงินชื่อดังของทั้ง Alibaba และ Tencent ที่ตอนนี้ให้บริการรับจ่ายเงินสกุลหยวน ก็พร้อมให้ความร่วมมือหากรัฐบาลขอให้เปิดใช้เงินใหม่นี้ด้วย แม้ในปัจจุบัน จะมีผู้ใช้จ่ายเงินออนไลน์มากถึง 800 ล้านคน แต่มองในอีกมุมหนึ่ง ก็ยังมีคนที่เข้าไม่ถึงระบบนี้อีกมาก พวกเขาเหล่านั้นยังรู้จักเพียงการใช้จ่ายแบบ “เงินสด” ซึ่งกำลังจะกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยในโลกอนาคต แล้วถ้าคนทั้ง 1,400 ล้านคน สามารถรับจ่ายเงินผ่านระบบได้หมด ถึงเวลานั้นทุกอย่างก็จะถูกควบคุมและตรวจสอบได้โดยง่าย รวมไปถึงเรื่องการ “ทุจริตและฟอกเงิน” ที่ทางรัฐบาลเน้นย้ำว่าอยากควบคุมให้ได้ ซึ่งการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ดูจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ภายใต้การปกครองของจีนนั่นเอง…

Credit : https://web.facebook.com/longtunman

ข่าวสารทั้งหมด