เกร็ดความรู้

รู้จัก ค่าความพร้อมจ่ายต้นทุนค่าไฟ แม้ไม่ใช้ก็ต้องช่วยจ่าย
26 เมษายน 2566 22:03 น.

รู้หรือไม่ว่าค่าไฟฟ้าในบิลของเราทุกวันนี้ มีค่าใช้จ่ายรายการหนึ่ง เรียกว่า “ค่าความพร้อมจ่าย” ที่เราต้องจ่ายเพิ่มเข้าไป เป็นประจำทุกเดือน วันนี้เรามาดูกันว่าค่าใช้จ่ายนี้คืออะไร ทำไมเราต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้ด้วย.

เริ่มกันที่ผู้เล่นหลักในการจัดจำหน่ายไฟฟ้าในบ้านเราก็จะมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หรือ EGAT เป็นผู้ผลิต และรับซื้อไฟฟ้า เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่

  • - การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)
  • - การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)

 

ปัจจุบัน กฟผ. ผลิตไฟฟ้าได้เอง ราว 34% ส่วนที่เหลือก็จะรับมาจาก

  • - ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ 34%
  • - ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก 19%
  • - นำเข้าจากต่างประเทศ 13%

 

หลังจากนั้น ก็จะจำหน่ายให้กับ กฟน. และ กฟภ. โดยทั้ง 2 องค์กรนี้ ก็จะจำหน่ายไฟฟ้าและเรียกเก็บบิลจากเราโดยค่าไฟฟ้าที่เราต้องจ่ายนั้น ก็จะประกอบไปด้วย 4 ส่วน แบ่งออกเป็น

  1. 1. ค่าไฟฐาน คือ ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้า เช่น ต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ระบบ สายส่ง สายจำหน่าย และการผลิตพลังงานไฟฟ้า รวมถึงเงินสมทบกองทุน
  2. 2. ค่าบริการ คือ ต้นทุนในการอ่านและจดหน่วย การจัดทำและส่งบิลค่าไฟฟ้า ระบบรับชำระค่าไฟฟ้า
  3. 3. ค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ ค่า FT คือ ค่าไฟฟ้าที่ปรับเปลี่ยนตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง และค่าซื้อไฟฟ้า ที่อยู่นอกเหนือจากการควบคุมของการไฟฟ้า ซึ่งจะมีการปรับทุก ๆ 4 เดือน
  4. 4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%

 

ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราจ่ายให้ กฟน. และ กฟภ. อย่างไรก็ตาม กฟน. และ กฟภ. ต้องไปรับซื้อไฟจาก กฟผ. ซึ่ง กฟผ. จ่ายเงินให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าอีกที เราหลายคนอาจจะคิดว่า กฟผ. จะมีการจ่ายเพียงแค่ค่าไฟฟ้าตามปริมาณ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้น เพราะยังมีค่าใช้จ่ายอีกส่วนหนึ่ง ที่แม้โรงไฟฟ้าบางแห่งจะไม่มีการผลิตไฟฟ้าส่งเข้าระบบแต่ กฟผ. ก็ต้องจ่ายให้ นั่นก็คือ “ค่าความพร้อมจ่าย” เป็นค่าใช้จ่ายที่ กฟผ. จะจ่ายให้กับโรงไฟฟ้าเอกชน ที่ประมูลการก่อสร้างโรงไฟฟ้ากับ กฟผ. ในการเตรียมความพร้อม สำหรับส่งไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. ซึ่งทั้งหมดจะถูกนับเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมของประเทศ

 

โดยค่าความพร้อมจ่าย จะครอบคลุมตั้งแต่

  • - ค่าก่อสร้าง ซึ่งรวมถึงการชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย
  • - เงินกู้ค่าบำรุงรักษา ค่าประกัน และค่าใช้จ่ายคงที่อื่น ๆ
  • - ค่าใช้จ่ายในการบริหาร
  • - ผลตอบแทนจากการลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้น

 

ซึ่งค่าความพร้อมจ่ายส่วนนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งในค่าไฟฟ้าของเรา เปรียบเทียบง่าย ๆ ก็เหมือนกับการที่เรา เช่ารถยนต์มาใช้งาน โดยมีสิ่งที่เราต้องจ่าย คือ ค่าเช่ารถรายเดือน และค่าน้ำมัน ซึ่งค่าน้ำมันจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งาน แต่ค่าใช้จ่ายที่เราต้องเสียแน่ ๆ แม้จะไม่ได้ขับขี่ไปไหนเลย ก็คือ ค่าเช่ารถหรือค่าความพร้อมจ่ายนั่นเอง

 

ประเด็นของเรื่องนี้ ก็คือ ค่าความพร้อมจ่ายที่เสียไปในแต่ละเดือน คุ้มค่าหรือไม่ โดยหากเราไปดูกำลังการผลิตไฟฟ้าคงเหลือของประเทศไทย ใน 3 ปีที่ผ่านมา พบว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในแต่ละปี ย้อนหลัง 3 ปี

  • - ปี 2563 28,637 เมกะวัตต์
  • - ปี 2564 30,135 เมกะวัตต์
  • - ปี 2565 32,255 เมกะวัตต์

 

กำลังการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย ย้อนหลัง 3 ปี

  • - ปี 2563 46,480 เมกะวัตต์
  • - ปี 2564 46,682 เมกะวัตต์
  • - ปี 2565 49,099 เมกะวัตต์

 

ถ้าดูจากความต้องการใช้พลังงานสูงสุดในแต่ละปีแล้ว จะเห็นว่า ประเทศเรายังมีกำลังการผลิตเหลือใช้ในระดับหนึ่ง คนส่วนใหญ่จึงกลับมาตั้งคำถามว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศที่เตรียมไว้ เหมาะสมหรือไม่ แม้ว่าโรงไฟฟ้าบางแห่งที่เป็นคู่สัญญา จะไม่ได้ผลิตไฟฟ้าส่งเข้าระบบ แต่ กฟผ. ก็ต้องจ่ายค่าความพร้อมจ่ายให้อยู่ดี ถ้ากำลังการผลิตเหลือใช้มากเกินไป ก็จะทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น จากต้นทุนแฝงที่มาในรูปของค่าความพร้อมจ่าย อย่างเช่นในปี 2563 ที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลง ทำให้โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งหมด เดินเครื่องเฉลี่ยเพียง 35% ของเวลาทั้งปี แต่ กฟผ. ยังต้องจ่ายค่าความพร้อมจ่ายดังกล่าว ให้กับผู้ผลิตกว่า 9,166 ล้านบาท ซึ่งถ้าประเทศไทยมีการควบคุมกำลังการผลิตส่วนเกินให้เหมาะสม ก็อาจจะช่วยลดค่าไฟฟ้าของประชาชนให้ถูกลงได้ ซึ่งก็ต้องทำให้สมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงทางพลังงาน กับการเผื่อกำลังการผลิตไว้เยอะเกินไป แล้วทำให้ค่าไฟฟ้ามีราคาสูง ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ใช้ไฟฟ้ามากเท่าที่ผลิตได้ก็ตาม

 

อ้างอิง : https://www.longtunman.com/45067

ข่าวสารทั้งหมด