เกร็ดความรู้
ปั้นธุรกิจแบบคิดย้อนกลับ ด้วยหลักการ Reverse Engineering
09 เมษายน 2564 12:10 น.
Reverse Engineering ไม่ได้เป็นแค่ศัพท์ที่ใช้ในวงการวิศวกรรมเท่านั้น เพราะเรายังสามารถนำวิธีคิดนี้ไปใช้ในการทำธุรกิจได้อีกด้วย
ก่อนอื่น Reverse Engineering คืออะไร
Reverse Engineering คือการนำสิ่งของอย่างหนึ่งมาถอดออกเป็นชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อศึกษากระบวนการทำงานของสิ่งนั้น เช่น ถ้าเราอยากสร้างคอมพิวเตอร์แต่ไม่มีความรู้เบื้องต้นเลย เราก็อาจจะลองไปซื้อคอมพิวเตอร์มาเครื่องหนึ่ง แล้วถอดส่วนประกอบต่างๆ ออกมาดูว่ามีกลไกทำงานอย่างไร เพื่อให้เข้าใจวิธีการทำงานของคอมพิวเตอร์มากขึ้น
Reverse Engineering เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจอย่างไร
เราสามารถนำหลัก Reverse Engineering มาใช้ในการทำธุรกิจได้ โดยเริ่มจาก ‘การตั้งคำถามแบบย้อนกลับ’ คือให้วางวิสัยทัศน์และตั้งเป้าหมายระยะยาวของธุรกิจก่อน จากนั้นลองมองกลับมาว่าถ้าอยากทำให้เป้าหมายนั้นเกิดขึ้นจริง เราต้องลงมือทำอะไรบ้าง เริ่มตั้งตั้งเรื่องคน เรื่องเงินทุน เรื่องการตลาด ไปจนถึงเรื่องระบบการจัดการ เป็นต้น
ชุดคำถามฉบับ Reverse Engineering ที่นำมาใช้ได้จริงในการทำธุรกิจ
1. แผนระยะยาวของธุรกิจเราคืออะไรบ้าง
2. เราจะตั้งเป้าหมายระยะสั้นของธุรกิจไปในทิศทางไหน
3. เราควรบริหารงานด้านทรัพยากรบุคคลอย่างไร
4. เราจะออกแบบช่องทางออนไลน์อย่างไรให้ลูกค้ามารู้จักธุรกิจเรา
5. เราจะใช้กลยุทธ์อะไรเพื่อให้ธุรกิจอยู่เหนือคู่แข่ง
ตัวอย่างการถอดรหัสโมเดลธุรกิจ Tesla ผ่านวิธี Reverse Engineering
Tesla เป็นธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าอันดับต้นๆ ของโลก เพราะ Elon Musk ตั้งใจออกแบบให้บริษัทมีโมเดลธุรกิจที่ค่อนข้างแตกต่างจากคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน
นี่คือ 4 ข้อที่สรุปวิธีคิดการทำ Reverse Engineering ไว้ได้เห็นภาพ
1. เข้าใจความต้องการลูกค้า
แม้ว่าลูกค้าจะซื้อรถยนต์ของ Tesla ไปแล้ว ทางบริษัทก็จะยังอัพเดตซอฟท์แวร์เวอร์ชั่นใหม่ๆ ให้ โดยที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าบริการหลังการขายเพิ่มเติม เพราะทางบริษัททราบดีว่าลูกค้าก็อยากเป็นเจ้าของรถยนต์ที่ทันสมัยเสมอ
2. ขจัดอุปสรรคให้ลูกค้า
Tesla พยายามขยายตำแหน่งของ Supercharger Station ออกไปในวงกว้างมากขี้น โดยบริการนี้จะอนุญาตให้ลูกค้านำรถยนต์มาชาร์จได้ฟรี 30 นาที โดยทางบริษัทเชื่อว่ากลยุทธ์นี้จะช่วยทลายกำแพงความกลัวของคนที่ยังไม่กล้าใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้ด้วย
3. แก้ปัญหาให้ลูกค้าได้รวดเร็ว
ทาง Tesla ได้ขายรถยนต์ให้ลูกค้าโดยตรงผ่านโชว์รูมของตัวเอง ไม่ได้ใช้บริการขายผ่านแฟรนไชส์เหมือนเจ้าอื่น ทำให้การดำเนินงานต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว และมั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับบริการที่น่าพอใจ เพราะทางบริษัทเทรนพนักงานมาเป็นอย่างดี
4. เห็น Pain Point ลูกค้า และมี Solution
Tesla มีบริการให้ลูกค้าเก่านำรถยนต์ Tesla ที่ใช้แล้วมาขายเป็นรถมือสอง เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่อยากขับรถยนต์ไฟฟ้า แต่มีงบประมาณไม่มากสามารถซื้อได้ในราคาที่เอื้อมถึง
สรุป
Reverse Engineering เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจในการวางแผนธุรกิจ เราสามารถใช้วิธีการนี้ได้โดยเริ่มต้นจากการวางเป้าหมายระยะยาวของธุรกิจ จากนั้นค่อยแบ่งงานที่ต้องจัดการเป็นด้านต่างๆ เพื่อไปสู่เป้าหมายนั้น
ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้นก็เหมือนกับการวางกรอบนอกของจิ๊กซอว์ก่อน จากนั้นค่อยต่อจิ๊กซอว์ด้านในให้ภาพที่คิดไว้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างนั่นเอง
ที่มา: https://brandinside.asia/reverse-engineering-business/