เกร็ดความรู้

เลือกใช้ฟอร์คลิฟท์อย่างไรให้เหมาะกับงานของคุณ?
11 มิถุนายน 2563 15:23 น.

ฟอร์คลิฟท์มีมากมายหลายชนิด ประกอบกับความซับซ้อนและมีเงื่อนไขจำกัดที่ต้องเรียนข้อมูลเฉพาะ (Specification) ทำให้การเลือกใช้รถฟอร์คลิฟท์ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมด้านต่างๆ อย่างรอบคอบ โดยเฉพาะต้องเข้าใจถึงสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องอันเป็นปัจจัยภายนอกตัวรถ อุปกรณ์ที่ต้องใช้งานร่วมกัน และวัตถุประสงค์การใช้งานรถ เพื่อสามารถใช้รถได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด

โดยทั่วไป รถฟอร์คลิฟท์เหมาะสำหรับการทำงาน 3 ลักษณะด้วยกัน คือ
     - งานรับและส่งสินค้าขึ้นลงที่ท่าเทียบรถขนส่ง
     - งานยกย้ายสินค้าจากหน้าท่าเทียบสินค้า จากบริเวณปากประตูคลังสินค้าไปยังชั้นวางสินค้าที่อยู่ภายในคลังสินค้า หรือยกย้ายไปยังอาคาร รวมถึงการขนย้ายเข้าสู่สายการผลิต
     - งานยกสินค้าขึ้นจัดเก็บบนชั้นวางสินค้า หรือเข้าไปยกสินค้าบนชั้นวางลงมาเพื่อจัดส่ง
ดังนั้นการเลือกใช้รถฟอร์คลิฟท์ให้เหมาะกับลักษณะงาน จึงมีเงื่อนไขที่เป็นปัจจัยภายนอกที่สำคัญให้พิจารณาร่วมด้วย ได้แก่

1. ชนิดและขนาดของสิ่งที่ต้องการยก

หากคลังสินค้ามีสินค้าที่แตกต่างกันทั้งชนิด รูปแบบ และขนาด จะต้องหาวิธีให้ภาชนะรองรับสินค้าทั้งหมดหรือสินค้าส่วนใหญ่ให้ได้ เพื่อสามารถใช้งานรถยกอุตสาหกรรมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยภาชนะที่สำคัญ ได้แก่ พาเลท ลังพาเลทพับเก็บได้ (Pallet Container) โครงพาเลทซ้อนได้ (Stacking Pallet) และรถเข็นทรงสูงที่ติดล้อ ภาชนะเหล่านี้จะช่วยให้น้ำหนักที่รถจะยกมีมาตรฐานแน่นอน และทำให้เลือกใช้รถได้ง่ายขึ้น

น้ำหนักของสิ่งของที่ต้องการจะยกเป็นข้อพิจารณาที่ต้องให้ความสนใจเช่นกัน เนื่องจากมาตรฐานความสามารถในการยกน้ำหนักของรถฟอร์คลิฟท์ได้ถูกกำหนดไว้แน่นอน เช่น 1 ตัน, 1.5 ตัน, 2 ตัน, 2.5 ตัน, 3 ตัน เป็นต้น ในขณะที่สิ่งที่จะยกในแต่ละครั้งมีน้ำหนักแตกต่างกัน จึงต้องมีการจัดกลุ่มของน้ำหนัก เพื่อสามารถเลือกใช้รุ่นของรถและจำนวนคันที่จะรองรับปริมาณงานทั้งหมดและเกิดความคุ้มค่าที่สุด

2. ลักษณะงาน ปริมาณงาน และข้อกำหนดในเรื่องเวลาทำงาน

การเลือกใช้รถฟอร์คลิฟท์ต้องคำนวณถึงอัตราความเร็วและความสามารถในการยกของรถยกแต่ละชนิด ลักษณะงาน ปริมาณงาน ระยะทางใกล้ไกล และความถี่ในการทำงาน ตลอดจนกำหนดความเร่งของเวลาเสร็จงาน

ความต้องการและปริมาณงานจะทำให้การเลือกขนาดของรถฟอร์คลิฟท์เปลี่ยนไปตามสภาพ โดยทั่วไปผู้ใช้รถจะเลือกรถที่มีความพอดีกับขนาดน้ำหนักที่จะยก เพราะหวังว่าจะช่วยประหยัดได้มากขึ้น แต่ลืมนึกถึงความถี่ในการใช้งานและการใช้เวลาในการทำงาน (Heavy Duty) การเลือกรถที่มีกำลังพอดีมากจนเกินไป จึงทำให้รถยกต้องทำงานหนักตลอดเวลา รวมทั้งสภาพรถจะเสื่อมเร็วและเสียหายได้ง่าย

3. การคำนวณความสามารถของรถฟอร์คลิฟท์จากข้อเท็จจริงในการทำงาน
รถฟอร์คลิฟท์แต่ละคันไม่ว่าชนิดไหน ล้วนไม่ได้ทำงานเต็มพิกัดน้ำหนักตลอดเวลา แต่จะทำงานยกสินค้าเพียงครึ่งหนึ่งของเวลาทำงาน กล่าวคือ รถยกจะวิ่งกลับโดยไม่มีสิ่งของต้องบรรทุก และต้องยกงาเปล่าช่วงลดงาลงหรือยกงาขึ้นเสมอ ดังนั้นการคำนวณผลการทำงานของรถยกจึงต้องลดเหลือเพียงครึ่งหนึ่งจากเวลาทั้งหมด แม้ว่ารถยกจะวิ่งและทำงานยกสิ่งของตลอดเวลาก็ตาม

นอกจากนี้ รถฟอร์คลิฟท์ยังไม่สามารถทำงานด้วยความเร็วสูงสุด และยกน้ำหนักสูงสุดได้ตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการทำงานทุกอย่างของรถยกต้องอาศัยมอเตอร์ไฟฟ้า จะทำให้เครื่องยนต์อุณหภูมิขึ้นสูงและร้อนจัด สร้างความเสียหายแก่ระบบไฟฟ้าได้โดยง่าย

สภาพแวดล้อมและพื้นที่ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงาน เช่น คับแคบ มีฝุ่นละอองมาก รวมทั้งอากาศที่ร้อนมาก นับเป็นอีกปัจจัยที่มีส่วนทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของรถฟอร์คลิฟท์ลดลงเช่นกัน

จะเห็นได้ว่า การเลือกใช้รถฟอร์คลิฟท์ให้เหมาะกับงาน จะต้องคำนึงถึงเงื่อนไขต่างๆ เช่น  ลักษณะการใช้งาน ความถี่การใช้ ตลอดจนสถานที่ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดยังควรจะขอคำปรึกษากับผู้จำหน่ายที่มีความรู้ความชำนาญโดยเฉพาะ

 

ข่าวสารทั้งหมด